เรื่องเล่าของกาลเวลา - เรื่องเล่าของกาลเวลา นิยาย เรื่องเล่าของกาลเวลา : Dek-D.com - Writer

    เรื่องเล่าของกาลเวลา

    สิ่งสำคัญไม่ใช่ครอบครอง...แต่เป็นความในใจที่ไม่อาจบอกกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

    ผู้เข้าชมรวม

    1,871

    ผู้เข้าชมเดือนนี้

    5

    ผู้เข้าชมรวม


    1.87K

    ความคิดเห็น


    8

    คนติดตาม


    3
    เรื่องสั้น
    อัปเดตล่าสุด :  4 ม.ค. 55 / 14:18 น.


    ข้อมูลเบื้องต้น

    - -

    เรื่องนี้ฟ้าแต่งส่งอาจารย์ค่ะ แต่จำรูปแบบไม่ได้ [ทำใบที่จดคำสั่งหาย] และนอนเพลินไปหน่อย ร้านเน็ตปิดเลย =_=!! จะเขียนก็เขียนไม่ทัน T^T และจำที่ครูสั่งไม่ได้ด้วย ซวยซ้ำซวยซ้อนจริงๆนั่นแหละ จะโทรไปถามเพื่อน ก็โทรไม่ติดซะงั้น นี่คือความประมาทที่ไม่ไปปริ๊นตั้งแต่วันเสาร์ แงๆ

    เลยเอามาลงเล่นๆค่ะ วิจารณ์กันให้เต็มที่สุดเหวี่ยงไปเลย!! เพราะเรื่องนี้คือเรื่องแรกที่แต่งจบ เย่!!

     

    งั้นไปอ่านกันเลยจ๊ะ เราไม่ใช่นักแต่งมืออาชีพหรือเก่งด้านภาษา อาจมีผิดพลาดไปบ้าง ไม่ว่ากันนะ ^^V



    Kanon Wakeshima - Still Doll (Music Box Ver.) 

              ส่งงานเรียบร้อยแล้วค่ะ ^^!! แต่ T^T ได้แค่ 8/10 เท่านั้นเอง แงๆ เพราะพิมพ์ผิดเยอะเลยโดนหักด้วย เซงๆ 

    Free Image Hosting @ Photobucket.com!
    ตั้งค่าการอ่าน

    ค่าเริ่มต้น

    • เลื่อนอัตโนมัติ

       

       

      เรื่องเล่าของกาลเวลา

       

      ข้าไร้ตัวตน มีเพียงนามธรรมที่มิอาจจับต้องและสัมผัสได้

      ข้าไร้ค่า เพราะได้แต่เฝ้ามองทุกสิ่งสูญสลายไปอย่างมิอาจยื่นมือเข้าช่วย

      ข้าโหดร้าย ใครๆก็ว่าข้าเช่นนั้น เพียงด่าทอและวิงวอนร้องขอความเมตตายังคงดังก้องอยู่ในโสต

      ได้แต่หวังสักวันคงมีใครเข้าใจข้า

       

      เจ้าอยากให้ใคร เข้าใจเจ้ากัน

      เสียงที่ดังแทรกความคิด ทำให้เจ้าของความคิดต้องหันขวับ กลับไปมองยังต้นเสียง ความรู้สึกยินดีแผ่ซ่านเข้าไปในใจ เมื่อคิดว่าบุคคลตรงหน้าเข้าใจตน

      เจ้าได้ยิน?’ความในใจของข้า

      กล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยชา แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับมิใส่ใจ ตอบกลับด้วยน้ำเสียงขี้เล่นคล้ายจะหยอกเอิน

      หากไม่ใช่ข้าแล้วจะเป็นใครเสียอีกเล่าฝ่ายได้รับคำตอบเริ่มจะฉุนขาด แต่ภายนอกก็ไม่ได้แสดงออก เพราะน้ำเสียงก็ยังเฉยชาดั่งเดิมแม้ว่าจะแฝงความไม่พอใจไว้นิดหน่อยก็ตาม

      เจ้ารู้รึเปล่า ว่าตัวเจ้ากำลังแอบฟังความคิดของผู้อื่นอยู่แม้น้ำเสียงจะเรียบเรื่อย แต่ความหมายกลับจิกกัดชัดเจน หากจะให้แปลตรงๆก็คือ ไร้มารยาท แต่ถึงแม้จะโดนหลอกด่า เจ้าตัวก็ยังคงยิ้มแย้มตอบเสียงระรื่นชวนน่าหมั่นไส้ดั่งเดิม คล้ายไม่รับรู้ความใน

      ก็มันดังก้องอยู่ในหัวข้า เจ้าจะให้ข้าทำเช่นไรเล่าฝ่ายได้รับคำตอบถอนหายใจ ยอมรับกลายๆว่าเถียงไม่ออก ก่อนจะต้องตกใจแทบสิ้น กับคำถามต่อมา ว่าแต่เจ้าอยากให้ใครเข้าใจกันล่ะ

      คำตอบที่ได้รับคือเสียงหวีดหวิวของลมที่พัดผ่าน ความเงียบครอบคลุมทั่วบริเวณอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อเจ้าตัวไม่อยากตอบ

      เอาเถอะ งั้นข้าจะค่อยๆศึกษาตัวเจ้าเพื่อทำความเข้าใจก็แล้วกันนะคำตอบที่ได้เหมือนน้ำที่รินรดทะเลทรายกลางใจที่แห้งผากให้กลับมาชุ่มชื้นอีกครั้ง รอยยิ้มปรากฎพร้อมกับการกล่าวแนะนำตัวครั้งแรกที่ไม่เคยบอกใคร

      ข้าชื่อกาลเวลา เรียกไทม์ก็ได้หากใครมาได้ยินเข้าคงไม่แคล้วตกใจจนช็อก เพราะไม่เคยเห็นเวลายิ้มและแนะนำตัวเองกับคนอื่นเลยสักครั้ง แม้ฝ่ายถูกแนะนำตัวครั้งแรกจะแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไรมากมาย กลับยิ้มกว้างและตอบคำถามอย่างเร็วรีอย่างกลัวอีกฝ่ายจะเปลี่ยนใจ ไม่ยื่นไมตรีนี้ให้

      ข้าชื่อนาฬิกา ยินดีที่ได้รู้จัก!’

       

      นั่นคือการพบกันครั้งแรกของนาฬิกาและเวลา เสียงนุ่มของหญิงสาวคราวแม่เอ่ยบอกเด็กสาวรุ่นลุกอายุราวหกขวบเศษที่กำลังนอนตักตนพร้อมฟังนิทานที่ตนเล่าอย่างตั้งใจ

      แล้วยังไงต่อคะดวงตาใสไร้จริตของเด็กสาวจ้องมายังมารดาตนอย่างตื่นเต้น เพราะเธอยังไม่เคยฟังนิทานเรื่องนี้จากที่ไหนมาก่อน ผู้เป็นแม่ขยับยิ้ม ยกมือเรียวขึ้นเกลี่ยผมให้ลูกสาวคนเก่งก่อนเอ่ยเล่าต่อต่อจากนั้น เวลาก็ต้องเดินทางทำหน้าที่ของตนต่อไป…”

      หน้าที่? หน้าที่อะไรหรือคะ??”

      อืม หน้าที่ของเวลา คือการขับเคลื่อนทุกสิ่งบนโลกให้เดินหน้าต่อไปไงคะ คนดีแต่เมื่อได้คำตอบ รอยขมวดบนคิ้วกลับยิ่งเพิ่มรอยเข้าไปอีก ด้วยความไม่เข้าใจในสิ่งที่มารดาตนกล่าว เมื่อเห็นลูกสาวทำหน้ายุ่ง ผู้เป็นแม่จึงเอ่ยอธิบายในขณะที่ริมฝีปากยังคงแต้มรอยยิ้ม อย่างในตอนนี้ไงคะ หากไม่มีเวลา โลกใบนี้ก็คงไม่ถือกำเนิด และคุณแม่ก็คงไม่มีลิงคนนี้เป็นลูกสาวไงคะ

      เด็กสาวหัวเราะคิกคัก เมื่อโดนผู้เป็นแม่หยิกแก้มเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว ก่อนเด็กสาวจะรู้ตัวว่าเลยประเด็นไปไกลแล้ว จึงเอ่ยท้วง แม่คะ เล่าต่อสิคะ

      จ๊ะ อย่างที่บอก กาลเวลาทำหน้าที่ของตนเอง โดยมีนาฬิกาคอยอยู่เคียงข้าง…”

       

      เจ้ากำลังทำสิ่งใดกาลเวลาเอ่ยถามนาฬิกา เมื่อเห็นนาฬิกาเอาแต่ยืนกุมมือพร้อมหลับตาพริ้ม

      นาฬิกาลืมตาขึ้น หันมายิ้มให้เวลาแล้วเอ่ยตอบเจ้าคงไม่รู้จัก มนุษย์เรียกสิ่งนี้ว่าการอธิษฐาน

      อธิษฐานรึ ทำไปเพื่อสิ่งใดกันเวลาเอียงคอถาม เมื่อนาฬิกาเห็นเวลาไม่เข้าใจจึงเอ่ยให้ลองทำดู

      นั่นแหละ อย่างแรกต้องกุมมือไว้บริเวณอก จากนั้นก็ค่อยๆหลับตา ช้าๆ ใช่ๆ อย่างนั้นแหละ จากนั้นก็…’

       

                  คราวนี้อะไรอีก

                  ไม่รู้จักล่ะสิ! นี่ข้าลงทุนไปโขมยมาจากพวกมนุษย์เชียวนะ

                  นี่เจ้า!’จะด่าก็ด่าไม่ออก ไม่แต่ถอนหายใจและยอมฟังคำของนาฬิกาต่อไปเรื่อยๆ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าตอนนี้ตนรู้สึกสุขใจ

       

                  งดงามใช่มั้ยล่าสิ่งนี้น่ะ

                  ไม่รู้

                  อ้าว! อย่าตอบห้วนๆทั้งๆที่ยังไม่ได้ดูอย่างนั้นสิ หันมานี่เลยๆ…’

       

                  “…เวลาได้เรียนรู้สิ่งมากมายจากนาฬิกา ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันพวกเขาเอาแต่ยิ้ม และหัวเราะบางครั้งก็เศร้าบ้างเมื่อต้องเฝ้ามองทุกสิ่งสูญสลายไป แต่ถึงกระนั้นความสุข ก้ไม่จีรังยั่งยืนนักหรอกนะ…”

                 

                  นาฬิกานาฬิกา! นาฬิกา!!’

                  โอ้ยๆ! ข้าได้ยินหรอกน่า จะเรียกอะไรนักหนาเนี่ยนาฬิกาสะดุ้งตกใจกับเสียงที่ดังอยู่ริมหู ก่อนจะหันไปแยกเขี้ยวใส่อย่างไม่สบอารมณ์

                  ก็เจ้าน่ะนับวันยิ่งขี้เซา เกิดอาการป่วยแบบมนุษย์รึอย่างไรกาลเวลาพูดเล่นลิ้น แต่หารู้ไม่ว่าสิ่งที่ตนกล่าวก็คล้ายคลึงกับอาการเช่นนี้ของนาฬิกาสภาพใกล้วันสูญสลาย!

                  แวบหนึ่งที่กาลเวลาเห็นนาฬิกาอมยิ้มเศร้า ใบหน้านั้นอมโศก ก่อนจะเปลี่ยนเป็นสดใสร่าเริงจนเวลาไม่ติดใจสงสัย

                  จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไรเล่า ข้ามิใช่มนุษย์เสียหน่อยแต่อายุขัยของข้าก็ใกล้หมดลงทุกทีแล้ว

                  งั้นเหรอ ไม่เป็นไรแน่นะ

                  อืม

       

                  นั่นคือครั้งสุดท้ายที่กาลเวลาและนาฬิกาได้คุยกัน กาลเวลามองไปข้างหน้าจนไม่ได้มองข้างๆตัวเลยว่านาฬิกานั้นได้จากไปตลอดกาล

       

                  นาฬิกานาฬิกา!...นาฬิ!!’เมื่อหันมามองข้างๆกลับพบเพียงความว่างเปล่า กาลเวลาใจหายวาบ รู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง หันซ้ายหันขวาก็ไม่เจอ พยายามเรียกชื่อเผื่อตนโดนแกล้งแต่ก็ไม่ได้รับเสียงตอบ

                  มีเพียงเสียงสะท้อนของตนเองที่ก้องตอบกลับมาเท่านั้น

                  วูบหนึ่งที่สายลมพัดผ่าน กาลเวลาจึงเอ่ยถาม

                  สายลมเอ๋ย ท่านเห็นนาฬิกาบ้างหรือไม่สายลมเพียงพัดผ่าน พาเอาคำตอบที่กาลเวลาไม่อยากได้ยินที่สุดมาให้

                  กาลเวลาเอ๋ย เจ้าไม่เคยมองข้างตัวเลยหรือ ว่านาฬิกาของเจ้า จากเจ้าไปไกลแสนไกลแล้ว

                  เป็นไปได้อย่างไรกาลเวลาพึมพำอย่างไม่เชื่อ ว่าแต่นาฬิกาจากเราไปที่ไหน

                  ไม่รู้หรือ นาฬิกานั้นมีอายุขัย ต่างกับเจ้าผู้ซึ่งเป็นอมตะ จะให้อยู่ด้วยกันชั่วนิจนิรันดร์น่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก

                  แล้วข้าต้องทำเช่นไร จึงจะได้พบนาฬิกาอีกสายลมเพียงยิ้มเอ็นดู กล่าวเสียงอาทร

                  แล้วแต่ประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด

       

                  หลังจากนั้นกาลเวลาก็ต้องทำหน้าที่ต่อไป อย่างไม่สามารถหันกลับมามองข้างหลังได้…”

                  โหดร้าย! ทำไมกาลเวลาถึงไม่รอนาฬิกาล่ะคะเด็กสาวถามมารดาเสียงใส รู้สึกอ่อนไหวกับนิทานจนน้ำใสๆคลอเต็มดวงตา ผู้เป็นแม่ลูบผมปลอบ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงอาทร

                  ‘‘ก็เพราะว่ารอไม่ได้น่ะสิจ๊ะดั่งคำกล่าวที่ว่า เวลาไม่เคยคอยใคร ต่อให้อยากจะหยุดรอแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ ได้แต่มองไปข้างหน้า และก้าวเดินต่อไปยังเส้นทางที่มืดมิดและไม่รู้จุดสิ้นสุด’’

                  ‘‘น่าสงสารกาลเวลาจัง ไม่สามารถทำได้อย่างใจเลย’’

                  ‘‘แต่คุณแม่เชื่อนะคะว่า ภายในใจของกาลเวลา ยังคงรอคอยวันที่จะได้อยู่กับนาฬิกาอีกครั้ง’’

                  หนูก็เชื่อค่ะ ฮือๆเด็กสาวปล่อยโฮเสียงดังจนคุณแม่ตกใจ เอ่ยปลอบประโลมอยู่นานกว่าจะสงบลงได้

                  เอาล่ะ เข้านอนได้แล้วนะคะคนดี นิทานจบแล้วค่ะเอ่ยบอกพร้อมกับเอนตัวลูกสาวลงนอนข้างๆ ห่มผ้าผืนใหญ่กันหนาวจนถึงคอทั้งๆที่เด็กสาวยังคงลืมตามองคุณแม่ใสแจ๋ว

                  ไม่นอนไม่ได้หรือคะเอ่ยเสียงออดอ้อน แต่กลับโดนสายตาดุๆเข้าให้เลยจ๋อยสนิท รีบหลับตาลงเพราะกลัวคุณแม่แปลงร่างกลายเป็นยักษ์เสียก่อน

                  เอาล่ะ หลับซะนะคนดี เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้คุณแม่จะเล่านิทานให้ฟังอีกนะคะแล้วสองแม่ลูกก็เข้าสู่ห้วงนิทราอย่างสบายใจ แต่เด็กสาวก็ยังคงภาวนาในใจให้กาลเวลาและนาฬิกาได้พบกันอีกครั้งอย่างใสซื่อ

       

       

       

      ในขณะนี้

      คุณยังสามารถทำวันนี้ให้ดีที่สุดได้

      เราไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น

      เพราะขนาดกาลเวลายังไม่รู้ปลายทางของตนเองเลย

       

       

       




       

      เพราะเวลาไม่เคยคอยใคร

      แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นนาฬิกาที่เคยเคียงข้างก็ตาม

       

      ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

      loading
      กำลังโหลด...

      ความคิดเห็น

      ×